วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2558

น้ำตกปาโจ


น้ำตกปาโจ



          น้ำตกปาโจ ตั้งอยู่ที่บ้านปาโจ ตำบลบาเจาะ อำเภอบาเจาะ จังหวัดนราธิวาสเป็นน้ำตกใหญ่ที่มีน้ำตลอดปี แต่ในหน้าแล้งน้ำค่อนข้างน้อย มีความสูงประมาณ 60 เมตร มีทางขึ้นไปสู่ต้นน้ำเป็นชั้นๆ รวม 9 ชั้น นับว่าเป็นน้ำตกที่ใหญ่ที่สุดในจังหวัดและสวยงามแห่งหนึ่งของภาคใต้ เป็นส่วนหนึ่งของอุทยาน แห่งชาติบูโด - สุไหงปาดี มีพื้นที่คลอบคลุมอยู่ในท้องที่อำเภอบาเจาะ อำเภอยี่งอ อำเภอระแง อำเภอรือเสาะ อำเภอสุไหงปาดี อำเภอจะแนะ อำเภอแว้ง จังหวัดนราธิวาส อำเภอรามัน จังหวัดยะลา และอำเภอกะพ้อ จังหวัดปัตตานี
สมัยก่อนเทือกเขาบูโด-สุไหงปาดี เป็นส่วนหนึ่งของทิวเขาสันกาลาคีรีที่แบ่งเขตแดนไทย-มาเลเซีย เคยเป็นที่ซ่องสุมของผู้ก่อการร้าย จึงไม่ค่อยมีผู้ใดเข้ามาสัมผัสความมหัศจรรย์ของผืนป่าดงดิบแห่งนี้ เมื่อสถานการณ์คลี่คลายลง ในปี พ.ศ. 2517 กรมป่าไม้จึงจัดตั้งวนอุทยานน้ำตกปาโจ และกลายมาเป็นอุทยานแห่งชาติบูโด-สุไหงปาดี ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ 294 ตารางกิโลเมตร 



ปาโจ ตามภาษามลายูท้องถิ่น เรียกว่า น้ำตก แต่โดยทั่วไปแล้วคนจะรู้จักกัน “ ปาโจแปะบุญ ” แปลว่า น้ำตกแปะบุญหรือน้ำตกบาเจาะ มีสภาพภูมิประเทศเป็นเทือกเขาสูงสลับซับซ้อน เป็นแหล่งต้นน้ำลำธาร มีพันธุ์ไม้ที่มีค่านานาชนิด สถานที่แห่งนี้ที่มีความสวยงามตามธรรมชาติมากที่สุดแห่งหนึ่ง ความสำคัญทางธรรมชาติ เป็นสภาพที่พักผ่อนหย่อนใจของชาวจังหวัดนราธิวาส และจังหวัดใกล้เคียง
นอกจากจะมีธรรมชาติที่สวยงามแล้วยังเป็นแหล่งประวัติศาสตร์ที่สำคัญ คือ พลับพลา “ศาลาธารทัศน์” ของรัชกาลที่ 7 เมื่อคราวเสด็จประพาสจังหวัดนราธิวาสและหินสลักจารึกพระปรมาภิไธยย่อและนามาภิไธยย่อ ในมหาจักรีวงศ์ของไทย ทั้งในอดีตและปัจจุบัน พร้อมกันนี้ยังเป็นที่ตั้งมูลนิธิศึกษาวิจัยนกเงือกของ ศ.ดร.พิไล พูลสวัสดิ์ และเป็นที่ตั้งที่ทำการอุทยานแห่งชาติบูโด– สุไหงปาดี น้ำตกปาโจ เรียกตามชื่อหมู่บ้าน ปาโจ ที่ตั้งอยู่บริเวณใกล้เคียง






จุดสนใจอีกอย่างหนึ่งของน้ำตกแห่งนี้คือการมี ใบไม้สีทองหรือ ย่านดาโอ๊ะ พันธุ์ไม้ชนิดนี้ถูกค้นพบเป็นครั้งแรกในโลกที่นี่ เมื่อปี พ.ศ. 2531 ใบไม้สีทองเป็นไม้เลื้อย มีลักษณะใบคล้ายใบชงโคหรือใบเสี้ยว แต่มีขนาดใหญ่กว่ามาก บางใบใหญ่กว่าฝ่ามือเสียอีก มีขอบหยักเว้าเข้าทั้งที่โคนใบ และปลายใบ ลักษณะคล้ายวงรีสองอันอยู่ติดกัน ทุกส่วนของใบจะปกคลุมด้วยขนกำมะหยี่เนียนนุ่ม มีสีทองหรือสีทองแดงเหลือบรุ้งเป็นประกายงดงามยามต้องแสงอาทิตย์ สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล และยังมีพันธุ์ไม้ที่สำคัญ หายาก มีราคาแพง และกำลังจะสูญพันธุ์ คือ หวายตะค้าทอง

และบริเวณป่าโดยรอบก็ยังเป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์หายากนานาชนิด เช่น แรด ชะนีมือดำ สมเสร็จ เลียงผา นกเงือกพันธุ์หายากที่ใกล้จะสูญพันธุ์ ได้แก่ นกเงือกหัวแรด นกเงือกชนหิน และนกเงือกหัวหงอกและที่สำคัญ คือ ค่างแว่นถิ่นใต้ มีถิ่นอาศัยอยู่ในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทางตอนใต้ของพม่า ภาคใต้ของประเทศไทย ไปจนถึงมาเลเซียและหมู่เกาะใกล้เคียง นอกจากค่างแว่นถิ่นใต้แล้ว

แหล่งที่มา  http://www.oknation.net/blog/niaref/2008/02/05/entry-17

หาดป่าตอง

หาดป่าตอง



          น้ำตกสุนันทา เป็นน้ำตกขนาดเล็กที่ อุทยานแห่งชาติเขานัน บริเวณอำเภอท่าศาลา จังหวัดนครศรีธรรมราช ห่างจากอำเภอท่าศาลา 30 กม. ครอบคลุมพื้นที่ของอำเภอท่าศาลา อำเภอสิชล และกิ่งอำเภอนบพิตำ นอกจากนี้อุทยานฯ ยังมีอาณาเขตที่ครอบคลุม เขาป่าสงวนแห่งชาติป่าเขานัน และเขตป่าสงวนแห่งชาติป่ากรุงชิงบางส่วน อุทยานฯ แห่งนี้มีเนื้อที่ประมาณ 436 ตรกม. ลักษณะเป็นเทือกเขาสูงสลับซับซ้อน เป็นแนวติดต่อมาจากอุทยานแห่งชาติเขาหลวง เป็นป่าต้นน้ำของคลองหลายสาย การเดินทางจากตัวเมืองใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 401 จนข้ามคลองกลายผ่านบ้านสระแก้ว อำเภอท่าศาลา หลักกม.ที่ 110 แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าบ้านปากเจา เข้าสู่ที่ทำการอุทยานฯ อีก 15 กม.

น้ำตกสุนันทา เป็นน้ำตกขนาดเล็กที่มีความงดงามตามธรรมชาติ สายน้ำไหลจากหน้าผาชันลงสู่แอ่งน้ำเบื้องล่างและไหลลงสู่ลำคลองกลาย ลำน้ำสายสำคัญในเขตอำเภอท่าศาลา สามารถจัดกิจกรรมล่องแพตามลำน้ำได้ในช่วงฤดูน้ำหลาก

การเดินทางไปยัง น้ำตกสุนันทา นครศรีธรรมราช
จากกรุงเทพฯ ถึง จ.สุราษฎร์ธานี แล้วใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 401 ผ่าน อ.กาญจนดิษฐ์ อ.ดอกสักเข้าสู่ จ.นครศรีธรรมราช โดยผ่าน อ.ขนอม อ.สิชล ถึงสี่แยกบ้านกลาย อ.ท่าศาลาถึงหลักกิโลเมตรที่ 110 แล้วเลี้ยวขวาไปทางบ้านปากเจา ระยะทาง 15 กม.ถึงที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขานัน
สิ่งที่น่าสนใจบริเวณ น้ำตกสุนันทา
เส้นทางศึกษาธรรมชาติบัวแฉกใหญ่ จุดเริ่มต้นอยู่ใกล้ที่ทำการอุทยานแห่งชาติ เดินขึ้นเขาไปเรื่อยๆ จะมีจุดชมทิวทัศน์ที่มองเห็น น้ำตกสุนันทา จากมุมสูงจากนั้นเส้นทางจะผ่านป่า ดิบชื้น มีพืชพันธุ์มากมายให้ชมนานาชนิด เช่น พญาไม้หวายพวน เสม็ดเขา มหาสดำ และกล้วยไม้ชนิดต่างๆ เป็นต้นเป็นเส้นทางที่จะพบเห็นความสวยงามของ “บัวแฉกใหญ่” ซึ่งเป็นเฟิร์นดึกดำบรรพ์ มีอายุประมาณ 230 ล้านปี ตามปกติจะพบที่ระดับความสูง 1,000 เมตรจากระดับน้ำทะเลขึ้นไป แต่ที่นี้จะพบในระดับความสูงเพียง 400 เมตร แต่จะพบเป็นกลุ่มเล็กๆ กระจายไปตามลาดของภูเขา เดินตามเส้นทางขึ้นไปจนถึงจุดชมทิวทัศน์ ซึ่งสามารถมองเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นเหนือทะเลอ่าวไทย ในยามฟ้าใสจะมองเห็นตัวเมืองท่าศาลาและอ่าวไทย ได้อย่างชัดเจนเวลากลางคืนเห็นแสงไฟจากเรือประมงในทะเลกว้างใหญ่ อีกด้านหนึ่งของจุดชมทิวทัศน์เป็นจุดชมลานมอสและลานบัวแฉก และสามารถมองเห็นทัศนียภาพของเทือกเขาสลับซับซ้อน
แหล่งที่มา https://th.wikipedia.org/wiki/น้ำตกสุนันทา

แหลมพรหมเทพ

แหลมพรหมเทพ


แหลมพรหมเทพ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งในจังหวัดภูเก็ต ตั้งอยู่ห่างจากหาดราไวย์ประมาณ 2 กิโลเมตร เป็นแหลมที่อยู่ตอนใต้สุดของจังหวัดภูเก็ต มีทัศนียภาพที่สวยงาม และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่ได้รับความนิยม เป็นที่ตั้งของประภาคารกาญจนาภิเษก สุดปลายของแหลมพรหมเทพ มีชื่อว่าแหลมเจ้า บริเวณตัวแหลมซึ่งยื่นออกไปในทะเล มีลักษณะโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ด้วยต้นตาลที่ขึ้นอยู่กลุ่มใหญ่
แหลมพรหมเทพ ถูกจัดเป็นหนึ่งในโครงการมหัศจรรย์เมืองไทย 12 เดือน 7 ดาว 9 ตะวัน ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย จุดเด่นคือ "ชมพระอาทิตย์ตกทะเล สวยที่สุดในประเทศไทย

หากใครได้มีโอกาสมาเที่ยวภูเก็ตแล้วไม่ได้มาชมอาทิตย์อัสดงที่ แหลมพรหมเทพ ถือว่ายังมาไม่ถึงหรือ เรียกว่า เป็นเป็นการท่องเที่ยวที่ยังไม่สมบูรณ์ตามแบบฉบับของการมาเที่ยวเมืิองภูเก็ต แหลมพรหมเทพจัดเป็นหนึ่งใน จุดชมอาทิตย์ตกก่อนใครที่สวยที่สุดในเมืองไทย เป็นแหลมที่อยู่ใต้สุดของเกาะภูเก็ตห่างจากตัวเมืองประมาณ 19 กม.มีลักษณะเป็นแหลมโค้งไล่ระดับทอดตัวสู่ท้องทะเล รอบข้างแวดล้อมด้วยต้นตาลที่ขึ้นแทรกอยู่เรียงรายตาม ต้นหญ้าที่พัดพลิ้วด้านขวาเป็นหาดในหานและเกาะมัน ส่วนด้านซ้ายจะมองเห็นหาดในยะซึ่งเป็นหาดเล็ก ๆโดย ทั่วไป นักท่องเที่ยวไม่ว่าจะเที่ยวหรือพักที่หาดใด พอช่วงใกล้เย็นพากันมาชมพระอาทิตย์ตกที่แหลมพรหมเทพ หากมาเที่ยวในวันที่อากาศดี ท้องฟ้าเปิด มีเมฆน้อย บรรยากาศพระอาทิตย์ตกที่แหลมพรหมเทพจะสวยงามมาก หากมาในฤดูร้อนมีทุ่งหญ้าสีทองขึ้นปกคลุมสวยงามมาก มองเห็นเกาะแก้วน้อย เกาะแก้วใหญ่และเกามัน ส่วน ในฤดูฝนจะเป็น เป็นสีเขียวรอบๆ แหลมพรหมเทพเป็นโขดหินขนาดใหญ่ยามคลื่นลมแรงจะเห็นฟองคลื่นสีขาว กระทบโขดหินงดงามยิ่งนัก
ก่อนถึงแหลมพรหมเทพจะผ่านหาดราไวย์อาจแวะชมทิวทัศน์ที่หาดราไวย์ หรือนั่งรับประทานอาหารเย็นรับลม ทะเล ก่อนขึ้นเขาไปแหลมพรหมเทพ ระยะทางขึ้นประมาณ 695 เมตร มีลานจอดรถ จากลานจอดรถมี บันได ขึ้นไป ยังเนินเขา เพื่อชมวิวพระอาทิตย์ตก ก่อนพระอาทิตย์ตกนักท่องเที่ยวอาจเดินชมวิวอยู่ด้านบนถนน หรืออาจจะลง ไป ชมวิวที่ปลาย แหลมก็ต้องเดินลงไปอีกประมาณ 1 ก.ม. ซึ่งระยะทางการเดินก็ค่อนข้างชัน ต้องเดินลงไปด้วย ความระมัดระวัง
มีลานจอดรถกว้างขวางคอยให้บริการนักท่องเที่ยว ใกล้กับลานจอดรถมีร้านขายของที่ระลึก มีร้านอาหารและ เครื่องดื่ม คอยให้บริการหลายร้าน
1.โดยรถยนต์ส่วนตัว
จากตัวเมืองภูเก็ตไปตามทางหลวงหมายเลข 4027 และ 4024 ผ่านหาดราไวย์และหาดในยะ จากนั้นตรงไปตาม ทางหลวงหมายเลข 4233 อีกประมาณ 650 ม. ก็ถึงลานจอดรถของแหลมพรหมเทพ ต้องเดินขึ้นบันได ไปบน เนินสูง เพื่อไปจุดชมวิว ถ้าต้องการชมทิวทัศน์ที่ปลายแหลมพรหมเทพ ต้องเดินต่อไปตามทางดินอีกประมาณ 1 กม. หรือจะชม
2. โดยรถโดยสารประจำทาง
นั่งรถสองแถม สายภูเก็ต-ราไวย์-ในหาน หรืออาจจะเหมารถแท๊กซี่่มาก็ได้
แหล่งที่มา https://th.wikipedia.org/wiki/แหลมพรหมเทพ

หาดป่าตอง

หาดป่าตอง





หาดป่าตอง อยู่ห่างจากตัวเมืองภูเก็ตไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ 15 กิโลเมตร นับว่าเป็นหาดที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของภูเก็ต เป็นชายหาดที่เพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น โรงแรม ร้านอาหาร ร้านดำน้ำ ร้านขายอุปกรณ์กีฬาทางน้ำ และอื่น ๆ อีกมากมาย ไว้คอยบริการแก่นักท่องเที่ยว ด้วยชายหาดที่มีความยาวกว่า 4 กิโลเมตร และสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครัน ป่าตองจึงเป็นหาดที่มีผู้นิยมมาเยือนมากที่สุด
หาดป่าตองถูกถล่มโดยคลื่นสึนามิจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวในมหาสมุทรอินเดีย เมื่อวันที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2547 ปัจจุบัน หาดป่าตองเป็นหนึ่งในหาดสำคัญที่ติดตั้งระบบเตือนภัยคลื่นสึนามิ มีการซ้อมอพยพและช่วยเหลือนักท่องเที่ยวอย่างสม่ำเสมอ

การเดินทาง


เดินทางจากตัวเมืองประมาณ 30 นาที โดยใช้ทางหลวงสาย 4029


ที่ตั้ง

อำเภอกะทู้ บริเวณฝั่งตะวันตกของเกาะภูเก็ต

แหล่งที่มาhttps://th.wikipedia.org/wiki/หาดป่าตอง

การท่องเที่ยว

การท่องเที่ยว



การท่องเที่ยว หมายถึงการเดินทางเพื่อพักผ่อนหย่อนใจหรือเพื่อความสนุกสนานตื่นเต้นหรือเพื่อหาความรู้หรือเพื่อจุดประสงค์ในการพักผ่อนหย่อนใจ [1] และ โรงแรมที่พัก ข้อมูลอื่นๆ 
การท่องเที่ยวเป็นอุตสาหกรรมหลักชนิดหนึ่งของประเทศไทย ซึ่งนำรายได้จากประชาชนชาวไทย และชาวต่างชาติเข้าสู่ประเทศไทย โดยในปัจจุบันมีบริษัทที่จัดทำโปรโมชั่นการท่องเที่ยวไว้อย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็นสายการบิน โรงแรม หรือบริษัททัวร์ต่างๆ โดยนักเดินทางสามารถหาข้อมูล หรือโปรโมชั่นการท่องเที่ยวได้ที่ 
สำนักงานส่งเสริมอุตสาหกรรมซอฟต์แวร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) (SIPA) เล็งเห็นถึงความสำคัญที่จะนำเทคโนโลยีการสื่อสารและสารสนเทศ (ICT) มาพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้ก้าวหน้ายิ่งขึ้น จึงได้ผลักดันโครงการนำร่องด้วยการสร้างพื้นฐานบนเครือข่ายอินเทอร์เน็ต กระตุ้นให้กลุ่มท่องเที่ยวร่วมกันบริการนักท่องเที่ยวผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ ซึ่งนับเป็นตัวอย่างของการใช้เทคโนโลยีซอฟต์แวร์ระดับสูงภายใต้ชื่อ "Tourism c-Commerce" (อังกฤษTourism Collabolative Commerce) หรือการพาณิชย์เชิงร่วมมือบนธุรกิจท่องเที่ยวขยายโอกาสทางการค้าที่ช่วยเพิ่มรายได้สู่หน่วยธุรกิจ

ประเภท


  1. การท่องเที่ยวชิงเกษตร เป็นการท่องเที่ยวในพื้นที่ชุมชนเกษตรกรรมเช่น สวนสมุนไพร ฟาร์มปศุสัตว์ และสัตว์เลี้ยงรวมถึงแหล่งเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำต่างๆ
  2. การท่องเที่ยวเชิงนิเวศ คือ การเดินทางไปในสถานที่ท่องเที่ยวที่เป็นแหล่งทรัพยากรทางธรรมชาติ
  3. การเที่ยวเชิงวัฒนธรรม เป็นการท่องเที่ยวและเยี่ยมชมสถานที่แสดงถึงความเป็นวัฒนธรรม เช่น การชมสถานโบราณวัตถุ โบราณสถาน ปราสาท พระราชวัง วัด ประเพณี รวมถึงวิถีการดำเนินชีวิตของบุคคลในแต่ละยุคสมัย
  4. การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ คือ การรูปแบบการท่องเที่ยวที่ผสมผสานในแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติ หรือแหล่งท่องเที่ยวอื่นๆ โดยมีกิจกรรมเพื่อการรักษาสุขภาพเป็นกิจกรรมสำคัยของการท่องเที่ยว เช่น การท่องเที่ยวสปา
  5. การท่องเที่ยวเชิงธุรกิจ เช่นการเดินทางไปเยี่ยมเยียนลูกค้า หรือ ดูแลงานและได้ไปท่องเที่ยวในท้องถิ่นนั้นๆประมาณ 1-2วัน
  6. การท่องเที่ยวคือการท่องเที่ยวโดยให้ตัวแทนนำเที่ยวอำนวยความสะดวกในเรื่องการจองตั๋วเครื่องบิน จองที่พัก อาหาร การเดินทางในต่างประเทศที่เราต้องการไปเที่ย

    ประโยชน์จากการท่องเที่ยว

    คนท้องถิ่นได้รับประโยชน์จากการพัฒนาสิ่งอำนวยความสะดวกทางการท่องเที่ยว(Facilities Developed for Tourism Can Benefit Residents) การส่งเสริมท่องเที่ยวช่วยให้เกิดการพัฒนาบริการ และ สิ่งอำนวยความสะดวกใหม่ให้กับชุมชน รวมทั้งนำคุณภาพชีวิตที่ดีกว่าสู่ชุมชน ประโยชน์ที่ได้รับจากการพัฒนาการท่องเที่ยว อาทิ การยกระดับโครงสร้างพื้นฐาน การปรับปรุงระบบสาธราณสุขและการขนส่ง การมีแหล่งสันทนาการและการกีฬาแห่งใหม่ การมีร้านอาหาร และ พื้นที่สาธารณะเพิ่มขึ้น รวมถึงการมีตัวเลือกจำนวนมากของสินค้าและอาหารที่มีคุณภาพ คุณค่าทางวัฒนธรรมและประเพณีได้รับการทำนุบำรุงขึ้นมาใหม่(Revaluation of Culture and Traditions) การท่องเที่ยวสามารถส่งเสริมการทำนุบำรุง และ การส่งต่อประเพณีและวัฒนธรรมดั้งเดิม รวมทั้งช่วยส่งเสริม การอนุรักษ์และการจัดการอย่างยั่งยืนต่อทรัพยากรทางธรรมชาติ การปกป้องมรดกของท้องถิ่น และ การฟื้นฟูงานฝีมือ ศิลปะ และวัฒนธรรมดั้งเดิมของท้องถิ่นขึ้นมาใหม่ การท่องเที่ยวไม่ได้มีส่วนช่วยด้านการเงินในการอนุรักษ์มรดกท้องถิ่นเพียงอย่างเดียว แต่ยังสนับสนุนทางอ้อมด้วย เช่น การท่องเที่ยวในพื้นที่ห่างไกลในแถบหุบเขา สามารถช่วยให้ชาวเขาตระหนักและฟื้นฟูเพลงท้องถิ่น และการฟ้อนรำแบบดั้งเดิมเอาไว้ได้ การท่องเที่ยวส่งเสริมการมีส่วนร่วมและความภูมิใจของชุมชน(Tourism Encourages Civic Involvement and Pride) การท่องเที่ยวทำให้ชุมชนเรียนรู้คุณค่าของแหล่งท่องเที่ยวทางวัฒนธรรมและธรรมชาติที่มีความสำคัญต่อรายได้ การท่องเที่ยวกระตุ้นให้เกิดความภาคภูมิใจในมรดกของท้องถิ่นและของชาติยังผลให้เกิดความใส่ในการอนุรักษ์ การมีส่วนร่วมของชุมชนท้องถิ่นในด้านการดำเนินงาน และ การพัฒนาการท่องเที่ยวเป็นเงื่อนไขสำคัญในการอนุรักษ์และใช้ประโยชน์ทรัพยากรที่หลากหลายอย่างยั่งยืน
    สิ่งเหล่านี้เป็นผลลัพธ์ด้านบวกที่เกิดจากการพัฒนาการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน และ ในทางที่เหมาะสม สิ่งจำเป็นที่ขาดไม่ได้ คือ การมีส่วนร่วมของชุมชน ที่มีทัศนคติเชิงบวก ย่อมก่อให้เกิดแรงสนับสนุนที่มากกว่าและโอกาสที่ดีกว่า ในการพัฒนาและดำเนินการทางการท่องเที่ยว ดังนั้นองค์ประกอบสำคัญของการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน คือ การพัฒนาชุมชน ให้มีส่วนเกี่ยวข้องกับขบวนการตัดสินใจเพื่อพิจารณา ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจในระยะยาว ระบบนิเวศน์ และ ความเสมอภาคของชุมชน'                                                                                                                                                                                                                                                    แหล่งที่มาhttps://th.wikipedia.org/wiki/การท่องเที่ยว

ธรรมชาติ


ธรรมชาติ



        ธรรมชาติ ในความหมายอย่างกว้างสุด เทียบเท่ากับโลกธรรมชาติ โลกกายภาพ หรือโลกวัตถุ "ธรรมชาติ" หมายถึง ปรากฏการณ์ของโลกกายภาพ และยังหมายถึงชีวิตโดยรวม มีขนาดตั้งแต่เล็กกว่าอะตอมไปจนถึงจักรวาล

คำว่า nature มาจากคำภาษาละติน natura หรือ "คุณสมบัติสำคัญ, พื้นนิสัยสืบทอด" และในสมัยโบราณ ตามตัวอักษรหมายถึง "กำเนิด"[1] natura เป็นคำแปลภาษาละตินของคำภาษากรีก physis (φύσις) ซึ่งเดิมเกี่ยวข้องกับลักษณะภายในซึ่งพืช สัตว์และลักษณะเฉพาะ (feature) อื่นของโลกพัฒนาแนว (accord) ของตน มโนทัศน์ธรรมชาติโดยรวม จักรวาลทางกายภาพ เป็นหนึ่งในหลายการต่อขยายของความคิดดั้งเดิม เริ่มต้นด้วยการประยุกต์ใช้แก่นบางอย่างของคำว่า φύσις โดยนักปรัชญายุคก่อนโสเครติส และได้รับความแพร่หลายอย่างต่อเนืองนับแต่นั้น การใช้นี้ได้รับการยืนยันระหว่างการมาถึงของระเบียบวิธีทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ในหลายศตวรรษหลัง
ปัจจุบัน "ธรรมชาติ" มักหมายถึง ธรณีวิทยาและสัตว์ป่า ธรรมชาติอาจหมายถึงอาณาจักรของพืชและสัตว์หลายชนิดทั่วไป และในบางกรณีหมายถึง ขบวนการซึ่งเกี่ยวข้องกับวัตถุไร้ชีวิต คือ วิถีซึ่งสิ่งบางประเภทโดยเฉพาะดำรงและเปลี่ยนแปลงแนวของตน เช่น ลมฟ้าอากาศและธรณีวิทยาของโลก และสสารและพลังงานอันประกอบขึ้นเป็นทุกสิ่งเหล่านี้ นอกจากนี้ยังใช้หมายถึง "สิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ" สัตว์ป่า หิน ป่า ชายหาด และโดยทั่วไปสิ่งเหล่านี้ที่ไม่ถูกเปลี่ยนแปลงอย่างสำคัญโดยอันตรกิริยาของมนุษย์โดยทั่วไปไม่ถูกพิจารณาว่าเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ ยกเว้นถูกจัดเป็น อย่างเช่น "ธรรมชาติมนุษย์" มโนทัศน์เก่ากว่าของสิ่งธรรมชาติซึ่งยังพบในปัจจุบันอยู่ชี้ข้อแตกต่างระหว่างธรรมชาติกับที่มนุษย์สร้างขึ้น (artificial) โดยสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ถูกทำให้เกิดขึ้นจากความรู้สึกตัวหรือจิตของมนุษย์ ขึ้นอยู่กับบริบทเฉพาะ คำว่า "ธรรมชาติ" ยังอาจแตกต่างจากไม่เป็นธรรมชาติ เหนือธรรมชาติหรือสังเคราะห์

โลกโลกเป็นดาวเคราะห์ดวงเดียวในปัจจุบันที่ทราบว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่ และลักษณะทางธรรมชาติเป็นหัวข้อการวิจัยทางวิทยาศาสตร์หลายสาขา ในระบบสุริยะ เป็นดาวเคราะห์ที่อยู่ใกล้ดวงอาทิตย์เป็นอันดับสาม เป็นดาวเคราะห์คล้ายโลกใหญ่ที่สุด และเป็นดาวเคราะห์ที่ใหญ่เป็นอันดับห้า ลักษณะภูมิอากาศที่โดดเด่นที่สุดคือ บริเวณสองขั้วขนาดใหญ่ สองเขตอบอุ่นค่อนข้างแคบ และบริเวณเส้นศูนย์สูตรกว้างเขตร้อนถึงบริเวณเขตกึ่งร้อน[2] หยาดน้ำฟ้ามีแตกต่างกันหลากหลายตามตำแหน่ง ตั้งแต่หลายเมตรต่อปีจนถึงน้อยกว่ามิลลิเมตร พื้นผิวโลกร้อยละ 71 ปกคลุมด้วยมหาสมุทรน้ำเค็ม ที่เหลือเป็นทวีปและเกาะ ซึ่งบริเวณที่มีผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่อยู่ในซีกโลกเหนือ

โลกวิวัฒนาการผ่านขบวนการทางธรณีวิทยาและชีววิทยาซึ่งเหลือร่องรอยสภาพดั้งเดิมอยู่ พื้นผิวส่วนนอกแบ่งเป็นแผ่นเปลือกโลกหลายแผ่นที่ค่อย ๆ ย้ายที่ ชั้นในยังมีพลังอยู่ โดยชั้นเนื้อโลกพลาสติกหนาและแก่นเหล็กที่สร้างสนามแม่เหล็ก
สภาพบรรยากาศเปลี่ยนแปลงไปจากสภาพดั้งเดิมอย่างสำคัญเพราะมีสิ่งมีชีวิต[3] ซึ่งสร้างสมดุลทางระบบนิเวศซึ่งรักษาสมดุลของสภาพพื้นผิว แม้จะมีความแตกต่างของภูมิอากาศอย่างมากในแต่ละพื้นที่ตามละติจูดและปัจจัยทางภูมิศาสตร์อื่น ๆ แต่ภูมิอากาศโลกเฉลี่ยในระยะยาวค่อนข้างเสถียรระหว่างช่วงอบอุ่นระหว่างยุคน้ำแข็ง (interglacial period)[4] และความแตกต่างของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกหนึ่งหรือสององศามีผลกระทบใหญ่หลวงต่อสมดุลระบบนิเวศ และธรณีวิทยาตามที่เป็นจริงของโลก

วิวัฒนาการทางธรณีวิทยา

ธรณีวิทยาของพื้นที่หนึ่งวิวัฒนาการตามกาลเมื่อหน่วยหินถูกทับถมและแทรก และขบวนการเปลี่ยนลักษณะเปลี่ยนรูปทรงและตำแหน่งไป
เริ่มต้นหน่วยหินถูกแทนที่ด้วยการทับถมสู่พื้นผิวหรือรุกล้ำเข้าไปในหินท้องที่ การทับถมสามารถเกิดขึ้นได้เมื่อตะกอนจมลงสู่พื้นผิวโลก และต่อมาแข็งตัวเป็นหินตะกอน หรือเมื่อวัตถุภูเขาไฟ เช่น เถ้าภูเขาไฟหรือลาวาไหลปกคลุมพื้นผิว หินอัคนีแทรกซอน เช่น หินอัคนีมวลไพศาล หินอัคนีรูปเห็ด พนังและพนังแทรกชั้น ผลักขึ้นไปด้านบนสู่หินที่ทับอยู่ และตกผลึกขณะที่หินอัคนีแทรกซอนรุกล้ำเข้าไป
หลังลำดับหินขั้นแรกถูกทับถมแล้ว หน่วยหินสามารถเปลี่ยนลักษณะ และ/หรือ เปลี่ยนสัณฐานได้ การเปลี่ยนลักษณะโดยทั่วไปเกิดขึ้นเป็นผลของการย่อสั้นลงในแนวนอน การขยายขนาดในแนวนอน หรือการเคลื่อนที่ตามแนวระดับ กฎเกณฑ์โครงสร้างเหล่านี้เกี่ยวข้องอย่างกว้าง ๆ กับแนวแผ่นเปลือกโลกลู่เข้าหากัน แนวแผ่นเปลือกโลกลู่ออกจากกัน และแนวแผ่นเปลือกโลกเคลื่อนที่สวนกันตามลำดับ

ทัศนะประวัติศาสตร์

ประเมินว่าโลกก่อตัวขึ้นเมื่อราว 4,540 ล้านปีก่อนจากเนบิวลาสุริยะ ร่วมกับดวงอาทิตย์และดาวเคราะห์ดวงอื่น ดวงจันทร์ก่อตัวขึ้นราว 20 ล้านปีให้หลัง ในตอนแรกโลกยังหลอมเหลวอยู่ แต่ชั้นนอกของดาวเคราะห์เย็นตัวลง เกิดเป็นเปลือกแข็ง การกำจัดแก๊สและกิจกรรมภูเขาไฟผลิตบรรยากาศยุคแรก ไอน้ำที่ควบคแน่น ซึ่งส่วนใหญ่หรือทั้งหมดมาจากน้ำแข็งจากดาวหาง ก่อให้เกิดมหาสมุทรและแหล่งน้ำอื่น เชื่อกันว่าเคมีซึ่งมีพลังสูงผลิตโมเลกุลที่สามารถทำสำเนาตัวเองได้เมื่อราว 4,000 ล้านปีมาแล้ว
ทวีปก่อตัวขึ้น แล้วแตกออกแล้วเปลี่ยนรูปเมื่อพื้นผิวโลกเปลี่ยนรูปในห้วงหนึ่งร้อยล้านปี บางครั้งรวมกันเกิดเป็นมหาทวีป (supercontinent) ราว 750 ล้านปีก่อน มหาทวีปแรกสุดที่ทราบ คือ มหาทวีปโรดิเนีย เริ่มแยกออกจากกัน ภายหลังทวีปกลับมารวมกันเกิดเป็นแพนโนเทียซึ่งแตกออกเมื่อราว 540 ล้านปีก่อน และท้ายสุด พันเจีย ซึ่งแยกออกจากกันเมื่อราว 180 ล้านปีก่อน
มีหลักฐานสำคัญว่ากิริยาธารน้ำแข็งรุนแรงระหว่างยุคนีโอโพรเทอโรโซอิกปกคลุมพื้นที่ขนาดใหญ่ของโลกใต้แผ่นน้ำแข็ง สมมุติฐานนี้เรียกว่า "โลกก้อนหิมะ" (Snowball Earth) และได้รับความสนใจเป็นพิเศษเพราะเกิดขึ้นก่อนการระเบิดยุคแคมเบรียน (Cambrian explosion) ซึ่งสิ่งมีชีวิตหลายเซลล์เริ่มเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วราว 530–540 ล้านปีก่อน
นับแต่การระเบิดยุคแคมเบรีนย มีการสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ที่สามารถระบุได้แยกกันห้าครั้ง การสูญพันธุ์ครั้งใหญ่ล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อราว 65 ล้านปีก่อน เมื่อการชนของอุกกาบาตอาจเป็นสาเหตุให้เกิดการสูญพันธุ์ของไดโนเสาร์ที่มิใช่สัตว์ปีกและสัตว์เลื้อยคลานขนาดใหญ่อื่น ๆ แต่เหลือสัตว์เล็ก เช่น สัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนม ซึ่งในขณะนั้นรูปร่างคล้ายหนูผี ในห้วง 65 ล้านปีหลัง สิ่งมีชีวิตสัตว์เลี้ยงลูกด้วยน้ำนมมีความหลากหลายมากขึ้น

แหล่งทีมาhttps://th.wikipedia.org/wiki/ธรรมชาติ